พระเจ้าคุยเรื่องSexyที่นี้เท่านั้น

กฏศาสนานั้นละ ที่ทำให้เราบาป

คุณจำไว้เลยว่า สำหรับพระเจ้านั้น..ไม่มีทำดีได้ดี

ใครสอนคุณว่าความดีของเราจะต่อรอง หรือมอบถวายให้พระเจ้าได้ ลองอ่านบทนี้ดู หากท่านทำบาปจะมีผลอะไรต่อพระองค์ แล้วถ้าท่านทำดีแม้จะทำมากมาย จะกระทบกระเทือนอันใดต่อพระองค์หรือ พระเจ้าจะรับสิ่งใดๆจากมือของท่านหรือ ความชั่วและความชอบธรรมของท่านมีผลต่อคนอย่างท่านเท่านั้น และการกระทำของท่านมีผลต่อมนุษย์ด้วยกันเท่านั้น อยู่ในพระธรรมโยบ บทที่35

ตรงกับอัครฑูตเปาโลในพระธรรมโรมบทที่3ข้อที่9 ไม่มีมนุษย์คนใดชอบธรรมสักคนเดียว ฉนั้นหน้าทีทำความดีเป็นสิ่งที่เราต้องทำกันทุกคนอยู่แล้ว ก็ลองไม่มีกฏศาสนาสิมนุษย์จะห่ำหันฆ่ากันเอง เอาง่ายๆคุณจอดรถไว้หน้าบ้านมีคนทุบกระจกรถแล้วขับออกไปเลยก็ยังได้ ที่ไม่ทำกันก็เพราะกฏศาสนา ศีลธรรมในใจและกฏหมายที่ครอบอยู่เหนือมนุุษย์ หรือที่พระเยซูคริสต์ตรัสว่า"พระวิญญาณบริสุทธิ์" อยู่บนโลกนี้ที่ช่วยพยุงโลกไว้ วันใดที่พระองค์กลับมาอีกครั้งนั้นคือโลกไม่มีอะไรเหลือแล้ว

เราเกิดแก่เจ็บตาย ร่วมทุกข์ร่วมสุขทั้งคนและสัตว์โลก รับผลกรรมตามการกระทำของเราที่มีต่อคนรอบข้าง สัตว์ หรือในสังคม ที่อยู่ในโลกเท่านั้นเอง จงอย่าถามว่าทำไมถึงมีไอ้คลั่งกระหน่ำ ยิงเด็ก ระเบิด หรือฆ่าแทงข่มขืน จงตั้งคำถามกับพระเจ้าว่าผลกรรม หรือการรกระทำของบรรพบุรุษ หรือตัวเราเองได้ทำอะไรมาก่อนหน้านั้น

ธรรมบัญญัติ หรือ กฏศาสนานั้นละ..ที่ทำให้เราบาปจริงหรือ?

คนกรีกยุคโบราณฉลาดสุดๆเคยพูดปากเชิดๆใส่เปาโลเมื่อสองพันกว่าปีก่อน บอกว่าเอาเรื่องเก่าหรือความรู้เก่ามาพูดทำไม ถ้าเช่นนั้นเราจะว่าอย่างไร! ว่าธรรมบัญญัติ(กฎศาสนา)คือบาปหรือ หาได้เป็นเช่นนั้นไม่ แต่ว่าถ้าไม่มีธรรมบัญญัติ(กฎศาสนา)บอกแล้วละก็ ข้าพเจ้าก็คงไม่รู้จักบาป ว่ามันเป็นอย่างไร เพราะว่าถ้าธรรมบัญญัติกฎศาสนา)มิได้ห้ามว่า "อย่าโลภ" ข้าพเจ้าก็คงไม่รู้ว่าอะไรคือความโลภ (ขยายความจากพระธรรมโรม7:7) ในที่นี้อัครทูตเปาโลบอกว่า ธรรมบัญญัติ(กฎศาสนา) คือตัวชี้ว่าอะไรคือบาป

ลองนึกภาพดูว่า คุณเดินไปที่เปลี่ยวไม่มีใครเลยในตรอกมึดแห่งหนึ่ง แล้วคุณก็เห็นอะไรบางอย่างบนถนนนั้น พอคุณเข้าไปดูใกล้ๆ มันคือสร้อยทองหนักประมาณ 5 บาท คุณหยิบมันขึ้นมา(โดยสัญชาติญาณ) พอคุณมั่นใจว่ามันเป็นทองจริง คุณเริ่มมองซ้ายขวาว่าจะมีใครเห็นไม่(จิตใต้สำนึกรู้ดี-ชั่วเริ่มทำงาน) เมื่อไม่มีใครแล้ว คุณเริ่มอยากได้ ความต้องการในที่นี้คือ เนื้อหนัง ราคะ หรือ ตัญหา ความอยากอะไรก็แล้วแต่ (คิดชั่ว) แต่..ทันใดนั้นคุณเกิดความคิดขึ้นมาว่า สร้อยราคาแพงขนาดนี้คงต้องมีเจ้าของเป็นแน่! คุณคิดว่าน่าจะไปแจ้งของหายดีกว่า(คิดดี) ระหว่างทางที่เดินไป คุณมีความคิดที่ว่าอย่าเอาของคนอื่นเลย(อย่าโลภ) เพราะมันไม่ดี และ คนดีก็ไม่ควรเอาของๆคนอื่น

มนุษย์แม้ไม่มีศาสนาเขาทราบอยู่แล้วว่าอะไรดีอะไรไม่ดี และถ้าเขามีธรรมบัญญัติ หรือกฏศาสนา ไอ้นี้ละ..กฏมันจะไปบอกให้เขาทราบว่า การเอาของคนอื่นเป็นของตัวนั้นเป็น บาป (จากงานเขียนคำพูดของ ซี เอส ลู อิส)

ถึงแม้ไม่มีธรรมบัญญัติ-ศาสนา เราทุกคนก็ทำชั่วตามตัญหาของเราอยู่แล้ว

คิดง่ายๆ แค่คุณนั่งสมาธิราคะมันก็เกิดขึ้นมาแล้ว แต่ธรรมบัญญัติที่สอนเรา หรือที่เรารับรู้มานั้น มันเป็นเครื่องกระตุ้นในุษย์ทำบาปมากยิ่งขั้น(อ้าว!) จะเปรียบเทียบให้คุณดังนี้ บาปเปรียบเสมือนตะปูที่ตอกอยู่ในเนื้อไม้ ลำพังแค่เอาชะแลง(จิตใต้สำนึกรู้ดีชั่ว) งัดมันก็ไม่ขึ้นแม้คุณจะออกแรงเท่าไร ที่นี้..พอคุณเอาไม้มาหนุนหัวชะแลง เพื่อให้เกิดจุดงัด ธรรมบัญญัติ-กฎศาสนานี้เหละคือจุดงัด เพราะลำพังตะปู(บาป)เราเห็นๆกันอยู่แล้วบนเนื้อไม้ พอเอาชะแลงมางัดตะปู พยายามเอาความบาปออกนั้นคือต่อสู้กับราคะความต้องการของตนเอง

แต่พอเอาไม้ตั้งจุดงัดเท่านั้นเหละ...บาปก็โผล่ให้เห็นชัดเจนคราวนี้ความคิดก็ประมวลผลออกมาว่า การเอาของคนอื่นมัน.บาป (คำพูด และจากงานเขียนนายแพทย์วิสิต วีระสมิทธิ์)

พระเจ้าไม่เคยรับรองทุกๆการกระทำของคุณว่า.. ทำดีต้องได้ดี(กุศล)

อย่าตกใจถ้าจะบอกคุณว่ากระบวนการทั้งหมดที่ทำไปเพื่อ ความดี มันไม่เกี่ยวข้องกับการลบบาปเลย ต่อให้คุณมีจิตวิญญาณสูงส่ง หรือสำเร็จบรรลุโสดาบัน นิพาน หรือศาสนทูต นักปรัชญาที่ยิ่งใหญ่ พระเจ้าไม่ได้รับรองความดีของการกระทำนั้นๆ เพราะการทำความดีเป็นหน้าที่ๆมนุษย์ทุกคนต้องทำอยู่แล้ว ในที่นี้อาจารย์เปาโลบอกว่า บาปมันอยู่ในเลือดเนื้อของเราอยู่แล้ว เราเกิดมาพร้อมตัวบาป และธรรมบัญญัติ-ศาสนานี้คือตัวระตุ้นให้มนุษย์ทำบาป หรือ เป็นช่องที่ทำให้ตัญหาชั่วเกิดขึ้นมา พระเจ้า(พระเยซูคริสต์)ทำให้ธรรมบัญญัติ หรือกฏศาสนานี้เองคุยกับท่านเปาโล

คุยในจิตวิญญาณของท่าน ในบทพระธรรมโรม(พระคัมภีร์ไบเบิ้ล)ท่านเปาโลได้บอกถึง คุณสมบัติ หน้าที่ของธรรมบัญญัติ และเป้าหมายของธรรมบัญญัติ นั้นมีไว้เพื่ออะไรกันแน่ พระธรรมท่อนนี้ผู้นำศาสนาสอนประชาชนนับหลายพันๆปี แต่ไม่เคยรู้ถ่องแท้ แล้วจู่ๆวันหนึ่งมีคนที่อ่านพระธรรมโรมนี้แล้วบังเกิดใหม่ จนปฎิวัติอาณาจักรโรมันคาทอลิค ยุโรปแตกแยกทางการเมือง แล้วให้กำเนิดโปรแตสแตนท์ นั้นคือมาร์ติน ลูเธอร์

ท่านเป็นบาดหลวงถือพรมจรรย์ เคร่งครัดทุกบท ทุกข้อทุกตอน แต่หาได้มีสันติสุขในชีวิตแม้ว่าจะเป็นผู้นำศาสนาในตำแหน่งที่สูง จบถึงปริญญาเอก ธรรมบัญญัติมีอำนาจเหนือมนุษย์ตอนที่มีชีวิตอยู่เท่านั้น แต่เมื่อเราตายธรรมบัญญัติ หรือ กฏศาสนา หรือ หลักข้อเชื่อ ความเชื่อ อะไรก็แล้วที่คุณจะเป็นมุสลิม ยิว ฮินดู ชินโต พุทธ คาทอลิก โปรเตสเตนท์ หรือจะนับถือผีพวกนอกรีตไม่เชื่อพระเจ้า แต่นั้นมันก็ตายตามไปด้วยเมื่อเราตาย บาปและเวรกกรรมของเราติดตัวไปกับจิตวิญญาณเรา

จนมันเอาแฉ หรือ เอามาเปิดให้ดูฉายเป็นVDOอีกครั้ง ตอนที่เราอยู่ต่อหน้าบัลลังก์ในสุดท้ายที่เราทุกคนถูกพิพากษาตัดสินโทษ ชีวิตเราอยู่ในคำตัดสินของพระเจ้าเท่านั้น ดูได้จากโจร2คนบนไม้กางเขน และอุปมาเรื่องเศรษฐีกับลาซารัสขอทาน ทรงเลือกผู้ที่พระองค์เลือกไว้เท่านั้น

คัดบางส่วนจากเปิดขุมทรัพย์โรม(อรรถธิบาย) ของนายแพทย์วิสิก วีรสิมทธิ